
เรียนต่อต่างประเทศ ดียังไง กับ S&K International Education

การเรียนต่อต่างประเทศ เป็นหนึ่งในความฝันของใครหลายๆ คน ทั้งคนที่อยากออกไปศึกษาหาความรู้ เพิ่มทักษะทางด้านภาษา และโอกาสในการทำงาน ให้กว้างมากขึ้น หรือบางคนก็อาจจะมองหา ประสบการณ์ในต่างประเทศ เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ใช้ชีวิตในต่างแดน และที่ S&K International Education เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาต่อต่างประเทศที่พร้อมดูแลคุณในทุกขั้นตอน ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปี เราเข้าใจดีว่า การไปเรียนต่อต่างประเทศ ไม่ใช่แค่การไปเรียน แต่คือ การวางแผนอนาคต และเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสที่ไร้ขีดจำกัด เราจะพาทุกคนไปดูกันว่าข้อดีการเรียนต่อต่างประเทศมีอะไรบ้าง และสำหรับใครที่สนใจ อยากไปเรียนต่อ แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปประเทศไหนดี เราก็มีประเทศยอดฮิตของการเรียนต่อต่างประเทศมาแนะนำให้ทุกคนได้ดูกัน

ไปเรียน เมืองนอก
ไปไม่ยาก ไปกับเรา
ข้อดีการเรียนต่อต่างประเทศ
1. เปิดโอกาส ได้ซึมซับวัฒนธรรมใหม่ๆ
2. เรียนไปด้วย เที่ยวไปด้วย ทำงานไปด้วย
3. ได้เรียนรู้ภาษาอื่นๆ เพิ่มเติม
4. ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ จากทั่วทุกมุมโลก
ไปเรียนต่อต่างประเทศ ที่ไหนดี
เรียนต่อออสเตรเลีย (Australia)
เรามาทำความเข้าใจระบบการศึกษาของออสเตรเลีย กันแบบคร่าวๆ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจก่อนมาเรียนต่อออสเตรเลียกันดีกว่า

ระบบการศึกษาของประเทศออสเตรเลีย (Australia’s Education System)
การศึกษาของประเทศออสเตรเลียจะแบ่งออกเป็น 5 ระดับด้วยกัน ได้แก่
อยู่ในช่วงอายุ 3-5 ปี จะเป็นการศึกษาแบบไม่บังคับ แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่จะส่งน้องๆ เข้าเรียน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมทางด้านการเรียนรู้ ทั้งทางร่างกาย สติปัญญา และการเข้าสังคม
อยู่ในช่วงอายุ 13 - 18 ปี และแบ่งเป็น 2 ช่วงหลักสูตร ได้แก่
- มัธยมศึกษาตอนต้น (Junior Secondary) ต่อจากระดับประถมศึกษา เป็นชั้นปีที่ 7-10 (Year 7-10) เมื่อจนการศึกษาขั้นนี้แล้ว นักเรียนสามารถเข้าทำงานหรือฝึกงานในอุตสาหกรรมต่างๆ หรือศึกษาต่อหลักสูตรขั้นต่อไปได้
- มัธยมศึกษาตอนปลาย (Senior Secondary): ชั้นปีที่ 11 และ 12 (Year 11-12) เป็นการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย โดยนักเรียนสามารถเลือก เรียนวิชาหลัก และวิชาเลือกที่สัมพันธ์กับสาขาวิชาที่สนใจ เพื่อเตรียมความพร้อมต่อเนื่องในระดับอุดมศึกษาต่อไป
หลังจากเรียนจบระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (Year 10) นักเรียนสามารถเลือกศึกษาในระดับสายอาชีพ หรืออาชีวะ ที่เน้นการฝึกอบรมเพื่อการทำงานภาคปฏิบัติ สำหรับประกอบอาชีพนั้นๆ โดยเฉพาะ อาทิเช่น ด้านการโรงแรม บริการ การทำอาหาร การพยาบาล การเลี้ยงเด็ก การดูแลคนชรา และรวมถึง งานช่างไฟ ช่างประปา ช่างไม้ ต่างๆ โดยแต่ละหลักสูตรจะมีระยะเวลา ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป
- Undergraduate จะครอบคลุมตั้งแต่
- ระดับอนุปริญญา (Associate Diploma) เป็นหลักสูตรที่เสริมทักษะความรู้ เพื่อเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีได้
- ระดับปริญญาตรี (ฺBachelor’s Degree) โดยทั่วไปใช้ระยะเวลา 3 ปี และกรณีเรียนในระดับเกียรตินิยม หรือที่เรียกว่า Honours จะใช้เวลารวม 4 ปี
- Postgraduate Courses จะครอบคลุมตั้งแต่
- ระดับประกาศนียบัตร (Graduate Diploma) ระยะเวลาทั่วไป 1-2 ปี เป็นหลักสูตรสำหรับต่อยอดความรู้จากระดับปริญญาตรี สามารถใช้ในการยื่นเข้าเรียนในระดับปริญญาโทต่อได้
- ระดับปริญญาโท (Master’s Degree) ระยะเวลาทั่วไป 1-2 ปี และหลักสูตรจะมีหลากหลายให้เลือก เช่น เน้นการเรียนการปฏิบัติและการทำวิทยานิพนธ์ (Coursework), หรือเน้นการวิจัย (Research or Thesis) และแบบผสมผสานทั้งสองแบบ
- ระดับปริญญาเอก (Doctorate, PhD) ระยะเวลาโดยมากจะเป็น 3 ปีขึ้นไป โดยหลักสูตรระดับปริญญาเอกของออสเตรเลีย จะเน้นไปที่โครงงานวิจัยเป็นหลัก
เรียนต่อนิวซีแลนด์ (New Zealand)
และระบบการศึกษาของนิวซีแลนด์เอง ก็มีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เรามาดูกันแบบคร่าวๆ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจก่อนมาเรียนต่อที่นิวซีแลนด์กันดีกว่า

ระบบการศึกษาของประเทศนิวซีแลนด์ (New Zealand’s Education System)
การศึกษาของประเทศนิวซีแลนด์จะมีทั้งหมด 4 ระดับ ได้แก่
อยู่ในช่วงอายุ 3-5 ปี เป็นการศึกษาแบบไม่บังคับ โดยพ่อแม่ส่วนใหญ่จะพาเด็กๆ มาเข้าเรียนเพื่อเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ทั้งความรู้ ร่างกาย และจิตใจก่อนเข้าศึกษาต่อในระดับถัดไป
อยู่ในช่วงอายุ 5-12 ปี (Year 1-8) เน้นศึกษาวิชาทั่วไป เช่น ศิลปะ คณิตศาสตร์ สังคม วิทยาศาสตร์ รวมถึงด้านภาษา ที่จะมีการสอนทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาเมารีของชนพื้นเมือง
อยู่ในช่วงอายุ 13-17 ปี (Year 9-13) เป็นการเรียนเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าศึกษาต่อในระดับถัดไป โดยในช่วง 3 ปีสุดท้าย นักเรียนแต่ละคนจะถูกวัดผล National Certificate of Educational Achievement (NCEA) โดยนับจากผลการเรียนและการสอบของแต่ละวิชา คิดผลเป็นคะแนนเครดิต โดย NCEA จะมีระดับแยกย่อยอีก 3 ระดับตามแต่ละชั้นปี และมีการแจกเกียรติบัตร NCEA หลังเรียนจบในทุก ๆ ปี
โดยนักเรียนจะได้รับเกียรติบัตร NCEA ก็ต่อเมื่อผ่านเกณฑ์ของแต่ระดับ เช่นเครดิตถึงเกณฑ์ในแต่ละวิชา โดยนักเรียนจะสามารถย้อนกลับไปเก็บหน่วยกิตในระดับก่อนๆ ได้จนกว่าจะจบการศึกษา สำหรับนักเรียนที่ต้องการจะเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย จะต้องมีเกียรติบัตรและเครดิต NCEA ผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด จึงจะสามารถเรียนต่อได้
อยู่ในช่วงอายุ 18 ปีขึ้นไป โดยหลักสูตรจะแบ่งเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่
- มหาวิทยาลัย (University): มี 3 ระดับ ได้แก่
- ระดับปริญญาตรี (Bachelor’s Degree): ระยะเวลา 3-4 ปี และนักศึกษาจะได้รับคุณวุฒิเกียรตินิยม (Honour) เพิ่มหากทำวิจัยเพิ่มเติมอีก 1 ปี แต่บางสาขาอาจใช้เวลาเรียนและเกณฑ์การให้เกียรตินิยมแตกต่างไปจากนี้
- ระดับปริญญาโท (Master’s degree): ระยะเวลา 1 ปี สำหรับนักศึกษาที่มีวุฒิปริญญาตรีเกียรตินิยม หรือ 2 ปี สำหรับนักศึกษาที่ไม่มีเกียรตินิยม และเมื่อเรียนจบก็จะได้คุณวุฒิเกียรตินิยม
- ระดับปริญญาเอก (Doctorate Degree): ระยะเวลา 3-8 ปีขึ้นไป โดยนักศึกษาที่ต้องการเรียนต่อในระดับนี้ จะต้องจบการศึกษาระดับปริญญาโท หรือหากได้รับเกียรตินิยมในระดับปริญญาตรีมาก่อน ก็สามารถข้ามมาศึกษาต่อที่ระดับนี้ได้เลย
- ระดับอาชีวศึกษา (Vocational Education): มีระยะเวลาตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป เป็นหลักสูตรด้านวิชาชีพ เน้นการเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นในการทำงาน มีการอบรมวิชาชีพขั้นสูง และการฝึกปฏิบัติจริงของแต่ละสายงาน โดยสายงานที่น่าสนใจนั้น ก็มีตั้งแต่ การโรงแรม งานบริการ การทำอาหารและงานครัว งานพยาบาล การทำงานศิลปะ และช่างฝีมือต่างๆ เป็นต้น
อีกหนึ่งจุดเด่นที่การศึกษานิวซีแลนด์นั้นแตกต่างไปจากประเทศอื่นๆ ก็คือการมีหลักสูตรประจำชาติถึง 2 หลักสูตร ได้แก่
- หลักสูตรนิวซีแลนด์ (New Zealand Curriculum) เป็นหลักสูตรทั่วไป มีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษเป็นหลัก
- หลักสูตรตามปรัชญาเมารี (Te Marautanga o Aotearoa) เป็นหลักสูตรที่สร้างตามรากฐานของวัฒนธรรมและค่านิยมเมารี เพื่ออนุรักษ์ภาษาและศิลปวัฒนธรรมของชาวเมารี มีการเรียนการสอนด้วยภาษาเมารี และจะใช้ในสถานศึกษาของชาวเมารีเป็นหลัก
เรียนต่ออังกฤษ (United Kingdom / England)
การไปเรียนต่ออังกฤษ เรียนต่อ UK ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าสนใจ นอกจากจะเป็นประเทศที่มีโรงเรียน และมหาวิทยาลัยระดับโลกอยู่มากมาย สหราชอาณาจักร (United Kingdom) หรือที่เราขอมุ่งไปที่ ประเทศอังกฤษ (England) เป็นหนึ่งในประเทศที่รุ่มรวยไปด้วยประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมที่เก่าแก่ ทรงอิทธิพลไปทั่วโลก พร้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่ใครๆ ก็รู้จัก และยังเป็นประเทศต้นกำเนิดของภาษาอังกฤษ ที่เราจะได้เรียนรู้และเพิ่มทักษะการใช้ภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาแบบถึงถิ่น ซึ่งตอบโจทย์คนที่อยากจะฝึกและพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ควบคู่ไปกับการเรียนวิชาการอีกด้วย แต่ก่อนจะตัดสินใจ เรามาทำความเข้าใจระบบการศึกษาของประเทศอังกฤษกันแบบคร่าวๆ เพื่อเราจะได้เป็นข้อมูลก่อนไปเรียนต่ออังกฤษ ได้แบบที่เข้าใจมากขึ้น

ระบบการศึกษาของประเทศอังกฤษ (English’s Education System)
ระบบการศึกษาของอังกฤษ จะแบ่งหลักๆ ได้ 5 ระดับ ดังนี้
อยู่ในช่วงอายุ 3-5 ปี จัดอยู่ใน ช่วงอนุบาล-เด็กเล็ก เน้นการเรียน ผ่านการเล่น การสำรวจ เพื่อส่งเสริมทักษะการเข้าสังคม และการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์
อยู่ในช่วงอายุ 5 - 11 ปี และแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ Key Stage 1 (ชั้นเรียนที่ 1-2) และ Key Stage 2 (ชั้นเรียนที่ 3-6) ซึ่งมุ่งเน้นวิชาหลัก เช่น ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ รวมถึงวิชาพื้นฐาน เช่น ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และศิลปะ และจะมีการสอบ Standard Assessment Test (SATs) ช่วงปลาย Key Stage 2 เพื่อประเมินผลการเรียนของนักเรียนเข้าสู่ระดับต่อไป
จะอยู่ในช่วงอายุ 11-16 ปี และแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ Key Stage 3 (ชั้นเรียนที่ 7-9) และ Key Stage 4 (ชั้นเรียนที่ 10-11) เมื่อนักเรียนมีอายุ 16 ปี หรือจบ Stage 4 (ชั้นเรียนที่ 11) จะมีการสอบ General Certificate of Secondary Education (GSCE) เพื่อประเมินวัดระดับสู่เพื่อเลื่อนสู่ระดับการศึกษาต่อไป
อยู่ในช่วงอายุ 16-18 ปี ในระดับนี้ นักเรียนสามารถเลือกที่จะเรียนต่อในหลักสูตร A-Level ซึ่งเนื้อหาหลักสูตรจะมุ่งเน้นเพื่อศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา (Higher Education) ต่อไป หรือเลือกเรียนต่อใน หลักสูตรสายอาชีพ (Vocational Courses) เช่น Business and Technology Education Council (BTEC) หรือ National Vocational Qualification (NVQ) เพื่อฝึกทักษะสายอาชีพ และยังสามารถเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาต่อไปได้อีกด้วย
อยู่ในช่วงอายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งการแบ่งหลักสูตรหลักๆ ดังนี้
- Undergraduate Courses จะครอบคลุมถึง ระดับอนุปริญญา(Foundation Degree) หรือระดับปูพื้นฐานเพื่อเรียนต่อระดับปริญญาตรี ส่วนใหญ่ใช้เวลา 1-2 ปี ระดับ ปริญญาตรี (ฺBachelor’s Degree) โดยทั่วไปหลักสูตรจะใช้เวลาเรียน 3 ปี แต่บางสาขาวิชาจะใช้ระยะเวลามากกว่า 3 ปี เช่น วิศวกรรมศาสตร์ และแพทยศาสตร์ เป็นต้น
- Postgraduate Courses จะครอบคลุมถึง ระดับปริญญาโท (Master’s Degree) และ ระดับปริญญาเอก (Doctorate, PhD) โดยแต่ละหลักสูตรจะมีการเรียนการสอนที่ต่างกันไป อาทิเช่น หลักสูตรเน้นการเรียน (Taught Courses), หลักสูตรเน้นการทำวิจัย (Research Courses) หลักสูตรออกแบบเฉพาะสำหรับนักศึกษาปริญญาเอก (Professional Doctorates)
เรียนต่อสิงคโปร์ (Singapore)
การไปเรียนต่อสิงคโปร์ จัดว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนที่ไม่ต้องการปรับตัวเยอะ เพราะนอกจากจะอยู่ไม่ห่างจากประเทศไทยแล้ว อาหารการกินก็ยังมีความคล้ายคลึงกัน รวมถึงสภาพอากาศที่คล้ายคลึงกับประเทศไทย ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องอากาศหนาวเย็นแบบประเทศในฝั่งตะวันตก แถมสิงคโปร์ยังเป็นประเทศที่สื่อสารกันหลายภาษา ทั้งภาษาอังกฤษ จีน และมาเลย์ สำหรับใครที่อยากจะฝึกภาษาอื่นๆ นอกจากภาษาอังกฤษ และไม่ต้องปรับตัวจากประเทศไทยมากนัก การเรียนต่อสิงคโปร์ ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลย

ระบบการศึกษาของประเทศสิงคโปร์ (Singapore’s Education System)
การศึกษาของประเทศสิงคโปร์นั้นจะมีทั้งหมด 5 ระดับด้วยกัน ได้แก่
หรือระดับอนุบาล อยู่ในช่วงอายุ 3-6 ปี
อยู่ในช่วงอายุ 7-12 ปี เป็นหลักสูตรภาคบังคับ 6 ปี แบ่งเป็น ระดับประถมต้น (ปี 1-4) และ ระดับประถมปลาย (ปี 5-6) เมื่ออยู่ระดับประถมปลาย นักเรียนจะมีการสอบวัดประเมินผล หรือที่เรียกว่า Primary School Leaving Examination (PSLE) เพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับต่อไป
อยู่ในช่วงอายุ 13-16/17 ปี นักเรียนในระดับนี้จะมีการเตรียมพร้อมในการสอบวัดผล GCE (General Certificate of Education) แบ่งแผนการเรียนย่อยได้ 2 สาย ตามความถนัดและระดับผลการสอบ PSLE ของนักเรียน ได้แก่
- แผนการเรียนแบบปกติ (Normal Course): หลักสูตร 5 ปี แบ่งการเรียนเป็น 2 สายหลักๆ ได้แก่การเรียนสายวิชาการ (Academic) และสายเทคนิคศึกษา (Technical) โดยเมื่อเรียนถึงปีที่ 4 แล้ว นักเรียนจะต้องทำการสอบ GCE “N” Level เพื่อเรียนต่อในชั้นปีที่ 5 และเตรียมสอบ GCE “O” Level เพื่อศึกษาต่อในระดับเตรียมอุดมศึกษา หรือหากสอบไม่ผ่าน ก็จะสามารถเข้าศึกษาต่อในระดับโพลีเทคนิคได้
- แผนการเรียนแบบปกติ (Normal Course): หลักสูตร 5 ปี แบ่งการเรียนเป็น 2 สายหลักๆ ได้แก่การเรียนสายวิชาการ (Academic) และสายเทคนิคศึกษา (Technical) โดยเมื่อเรียนถึงปีที่ 4 แล้ว นักเรียนจะต้องทำการสอบ GCE “N” Level เพื่อเรียนต่อในชั้นปีที่ 5 และเตรียมสอบ GCE “O” Level เพื่อศึกษาต่อในระดับเตรียมอุดมศึกษา หรือหากสอบไม่ผ่าน ก็จะสามารถเข้าศึกษาต่อในระดับโพลีเทคนิคได้
มี 3 หลักสูตรหลักๆ ได้แก่
- เตรียมอุดมศึกษา (Junior College): หลักสูตร 2 ปี สำหรับการศึกษาเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย โดยนักเรียนที่เรียนหลักสูตรนี้จะต้องเข้าสอบ GCE “A” Level ในปีสุดท้ายเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
- วิทยาลัยโพลีเทคนิค (Polytechnic): หลักสูตร 3 ปี สำหรับการศึกษาด้านอาชีวะศึกษา และเมื่อสำเร็จการศึกษาก็จะสามารถเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาได้เช่นกัน
- สถาบันศึกษาด้านเทคนิค (Institute of Technical Education): หรือที่เรียกว่า ITE เป็นสถาบันการศึกษาสำหรับฝึกความรู้และพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานด้านเทคโนโลยีและงานอุตสาหกรรม มีหลักสูตรที่หลากหลายตามแต่สาขาอาชีพ หลักสูตรส่วนใหญ่มีระยะเวลาประมาณ 2-3 ปี
แบ่งหลักๆ ได้ 3 หลักสูตร ได้แก่
- ระดับปริญญาตรี (Bachelor’s degree): ระยะเวลา 3-5 ปี
- ระดับปริญญาโท (Master’s degree): ระยะเวลา 1 ปี
- ระดับปริญญาเอก (PhD/Doctorate): ระยะเวลา 2-5 ปี
ความน่าสนใจของการศึกษาภาคบังคับสิงคโปร คือ การให้นักเรียนเรียนรู้ภาษา 2 ภาษาพร้อมกัน คือ ภาษาอังกฤษ และภาษาแม่อีกหนึ่งภาษา ได้แก่ ภาษาจีน, มลายู หรือทมิฬ ทำให้ชาวสิงคโปรนั้นสามารถสื่อสารได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆ อย่างคล่องแคล่ว
การไปเรียนต่อต่างประเทศนั้นมีข้อดีที่มากกว่าแค่การไปเรียนหนังสือหรือหาความรู้ แต่ยังเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยได้สัมผัส ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในต่างแดนและพบปะสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ๆ จากแต่ละมุมโลก ที่จะทำให้เราได้เปิดหูเปิดตา และเป็นโอกาสที่ดีในการใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างเต็มที่ด้วย

หากต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเรียนต่อภาษาอังกฤษ
สามารถติดต่อ S&K International Education
เรายินดีให้คำแนะนำการเลือกประเทศ หลักสูตร และสถาบันที่เหมาะกับคุณ พร้อมดูแลตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการ
ติดต่อ โทร.: (66)2-464-5177, (66)81-816-6606 หรือ (66)89-799-0093
NEWS UPDATE

โปรแกรมของเรา

ศูนย์บริการแนะแนว
การศึกษาต่อต่างประเทศ
คำถามที่พบบ่อย
คำถามทั่วไปเกี่ยวกับการเตรียมตัวไปเรียน
TOEFL เป็นการทดสอบความสามารถภาษาอังกฤษทางด้านการฟัง การอ่านและการเขียนเท่านั้น ซึ่งสถาบันในประเทศอเมริกา และแคนาดานิยมใช้ผลทดสอบ TOEFL
IELTS เป็นการทดสอบความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษ ทั้ง 4 ทักษะ คือ การฟัง การอ่าน การเขียน และการพูด และมีการสอบสัมภาษณ์เพิ่มเข้ามา ซึ่งนิยมใช้ในประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และอังกฤษ
น้อง ๆ สามารถสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสนามสอบ และค่าใช้จ่าย ได้ที่
TOEFL สอบถามข้อมูลได้ที่
- สถาบันการศึกษานานาชาติ ( IIE )
อาคารซิตี้แบงก์ ชั้น 9 ถ.สาทรเหนือ
ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น.
IELTS
น้อง ๆ สามารถหา ข้อมูลศูนย์สอบที่ใกล้ ๆ บ้านได้จาก
https://www.ielts.org/book-a-test/find-a-test-location
อันนี้จะต้องขึ้นอยู่กับว่าน้อง ๆ อยากไปเรียนต่อที่ประเทศไหนและในหลักสูตรใด เพราะในแต่ละหลักสูตร มีข้อกำหนดในการสมัครเรียนที่แตกต่างกันไป พี่จะลองยกตัวอย่างให้นะคะ
หลักสูตรภาษาอังกฤษพื้นฐาน General English ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ต้องสอบวัดผลทางภาษาอังกฤษก่อนที่จะสมัครเรียน เพราะชื่อคอร์สเรียนก็บอกอยู่แล้วนะคะว่าเป็นภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐาน ที่ใคร ๆ ก็สามารถเรียนได้
หลักสูตรวิชาชีพ Vocational Course ส่วนใหญ่แล้วน้อง ๆ ที่จะลงเรียนในหลักสูตรนี้จะต้องมีผลสอบวัดระดับทางภาษาอังกฤษ(TOEFL หรือ IELTS)มาเพื่อใช้ในการสมัครเรียน เพราะหลักสูตรนี้จะเป็นการเรียนที่ยากขึ้นจากการเรียนคอร์สเรียนภาษาทั่วไป ซึ่งน้อง ๆ ที่ลงทะเบียนเรียนควรจะมีพื้นฐานทางด้านภาษาอังกฤษพอสมควร
หลักสูตรปริญญา Degree program แน่นอนอยู่แล้วค่ะ น้อง ๆ ที่จะลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรปริญญา จะต้องมีผลภาษาที่ดีถึงดีมากเพราะการเรียนในหลักสูตรปริญญานั้นจะค่อนข้างยากและซับซ้อน บางรายวิชาอาจจะมีศัพท์เฉพาะทาง และยังมีการนำเสนอ project หรือ ผลงานหน้าชั้นเรียน ซึ่งนั้นก็หมายถึงน้อง ๆ จะต้องมีความสามารถที่จะฟัง พูด อ่าน เขียน ถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจได้ว่าน้อง ๆ ต้องการจะสื่อสารถึงเรื่องใด
ส่วนว่าในแต่ละหลักสูตรและสถาบันของประเทศไหน จะต้องการให้น้อง ๆ สอบวัดผลทางภาษาแบบไหนนั้น ก็จะขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของทางสถาบัน และ ข้อกำหนดของแต่ละประเทศค่ะ
การเปิดเทอมของแต่ละสถาบันจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถาบันและหลักสูตรที่น้อง ๆ เลือกเรียน ซึ่งมีทั้งเปิดเทอม 6 เดือนครั้ง 3 เดือนครั้ง หรือ เดือนละครั้ง ขึ้นอยู่กับสถาบันที่น้องเลือก ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเช็คกับสถาบันอีกครั้งนึง
แต่พี่สรุปคราว ๆ ของแต่ละประเทศมาให้ดูกันนะจ๊ะ
- ประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มหาวิยาลัยเปิดภาคเรียนเดือนกุมภาพันธ์ บางหลักสูตรเปิดเดือนกรกฏาคม สำหรับวิทยาลัยเปิดภาคเรียนเดือนละครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละวิทยาลัย
- ประเทศอังกฤษ เปิดภาคเรียนในเดือนกันยายน แต่ก็มีบางหลักสูตรที่เปิดในเดือนมกราคม
- ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทั่วไปจะเริ่มภาคการศึกษาในเดือนกันยายน แต่ในบางมหาวิทยาลัยเริ่มเปิดในเดือนมกราคม
- ประเทศแคนาดา เริ่มเปิดภาคเรียนระหว่างเดือนสิงหาคมและพฤศจิกายน
อย่าลืมเช็คข้อมูลอัพเดตกับทาง website ของสถาบันนะคะ
หรือน้อง ๆ แค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาพี่ ๆ S&K ได้ค่ะ เดี่ยวพวกพี่ ๆ S&K จะเช็คข้อมูลอัพเดตต่าง ๆ ให้น้องเองจ๊ะ
คำถามเกี่ยวกับ วีซ่าและ คอร์สเรียนต่าง ๆ
ก่อนอื่นถ้าน้อง ๆ สนใจที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ อย่างแรกที่น้อง ๆ ต้องทำคือ
1. ถามตัวเองให้ได้ก่อนว่าอยากที่จะไปเรียนอะไร แขนงไหน เช่น อยากไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม หรืออยากเรียนในส่วนของคอร์สวิชาชีพ เช่น ฺBusiness, Marketing, IT, Hospitality หรือจะไปเรียนในระดับปริญญาตรี โท หรือ เอก
2. หลังจากที่เลือกได้แล้วว่าน้อง ๆ อยากจะเรียนอะไร ก็มาถึงในส่วนของเอกสารที่ต้องใช้เบื้องต้น หลัก ๆ คือ Passport, ใบแสดงผลการเรียน (Transcript) ที่เป็นภาษาอังกฤษ
3. เตรียมในส่วนของผู้สนับสนุนทางการเงิน คือ ลองคุยกับทางบ้านดูว่า ทางผู้สนับสนุนของเรา มีความสามารถที่จะสนับสนุนเราให้ไปเรียนต่างประเทศมากน้อยแค่ไหน
เมื่อน้อง ๆ ตัดสินใจและเตรียมข้อมูลเบื้องต้นครบแล้ว ขั้นต่อไปน้อง ๆ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรหาพี่ ๆ S&K ได้เลยจ๊ะ พวกพี่ ๆ จะช่วยจัดคอร์สเรียนและอธิบายการเตรียมตัวในส่วนของเอกสารที่จะต้องใช้ในการยื่นวีซ่าให้น้อง ๆ เองค่ะ
เบอร์โทรที่สามารถ โทรหาพี่ ๆ S&K
Tel. 02-464 - 5177 M. 081- 816 - 6606 , 089 - 799 - 0093
ตั้งแต่ 09:00 - 17:30 จันทร์ - ศุกร์ วันเสาร์ 10:00 - 15:00
General English คือ การเรียนภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐาน เป็นคอร์สเรียนที่เรียนไปเพื่อพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษเบื้องต้น ใน 4 ทักษะขั้นพื้นฐาน ฟัง (Listening) พูด (Speaking) อ่าน (Reading) เขียน (Writing)
และเพื่อพัฒนาทักษะในติดต่อสื่อสารเบื้องต้น เพื่อให้น้อง ๆ สามารถติดต่อสื่อสารเบื้องต้นกับชาวต่างชาติได้ อีกทั้งยังเป็นคอร์สเรียนภาษาอังกฤษพื้นฐานสำหรับน้อง ๆ ที่จะเรียนต่อในคอร์สเรียนที่สูงขึ้น และ ยากขึ้นอีกด้วย
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Vocational Course คืออะไร
Vocational Education Training คือ การเรียนในหลักสูตรวิชาชีพในไทยนั้นเอง หรือที่เราเรียนกันว่า เรียนภาควิชาชีพ ซึ่งเมื่อเรียนจบแล้วน้อง ๆ จะได้รับ Certificate หรือ ประกาศนียบัตร ซึ่งการเรียน Vocational Course ซึ่งรายวิชาหลัก ๆ ที่น้อง ๆ ส่วนใหญ่สนใจเรียน คือ
Business and Management
Marketing
Accounting
Hospitality
Cookery
IT
แล้วยังมีอีกหลายรายวิชาให้เลือกเรียนอีกมากมาย น้อง ๆ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้
เบอร์โทรที่สามารถ โทรหาพี่ ๆ S&K
Tel. 02-464 - 5177 M. 081- 816 - 6606 , 089 - 799 - 0093
ตั้งแต่ 09:00 - 17:30 จันทร์ - ศุกร์ วันเสาร์ 10:00 - 15:00
ถ้าพูดถึงการเรียนในหลักสูตร Degree program หรือ หลักสูตรปริญญา ซึ่งจะมีทั้งปริญญาตรี ปริญญาโท และ ปริญญาเอก ซึ่งสาขาวิชาต่างๆที่ให้เลือกเรียนก็มีมากมายหลายแขนง
อีกทั้งในบางประเทศยังใช้เวลาเรียนสั้นกว่าเรียนในประเทศไทย รวมถึงบางประเทศยังสามารถขอวีซ่าทำงานหลังจากที่เรียนจบหลักสูตรอีกด้วย
S&K คือใครและทำอะไรบ้าง
S&K International Education มี 2 สาขา ใน 2 ประเทศ คือ
- ประเทศไทย
บริษัทเอส แอนด์ เค อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเคชั่นจำกัด
138/1 อาคารไอดีโอ สาทร-ตากสิน ถนน กรุงธนบุรี
แขวงบางลำภู่ล่าง เขตคลองสาน
จังหวัดกรุงเทพฯ 10600
โทร : 024645177
มือถือ : 089 799 0093, 081 816 6606
เวลาทำงาน
จันทร์ - ศุกร์ : 9:00-17:30
เสาร์ : 10:00-15:00
- ประเทศออสเตรเลีย
S&K International Education
Suite 22, Level 2,
650 George St, (World Square)
Sydney, NSW 2000, Australia
Tel : (61) 2 9283-0077
Fax : (61) 2 9283-6277
เวลาทำงาน
จันทร์ - ศุกร์ : 9:00-18:00
เสาร์ : 11:00-15:00
เกี่ยวกับเรา

OUR STAFF

Kitty Suthada
Marketing Manager
skeducation@hotmail.com

Pook Oraphin
Education Consultant Manager
skeducation_syd1@hotmail.com

Kat Wimon
Education Consultant
skeducation_syd2@hotmail.com

Kik Weerayut
Education Consultant / IT Support
skeducation_syd3@hotmail.com

Sasi Sasitorn
Education Consultant
skeducation_bkk3@hotmail.com

Kate Suphannika
Education Consultant
skeducation_syd5@outlook.com
skeducation@hotmail.com
skeducation_syd1@hotmail.com
skeducation_syd2@hotmail.com
skeducation_syd3@hotmail.com
skeducation_bkk3@hotmail.com
skeducation_syd5@outlook.com
skeducation_bkk4@hotmail.com
